ประวัติศาสตร์ไทย
หน้าแรก
จุดประสงค์การเรียนรู้
แนะนำวิธีการใช้
แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน
ประวัติศาสตร์ไทย
การแบ่งยุคสมัย
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประ
สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองขอ
สมัยอาณาจักรอยุธยา
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
บรรณานุกรม
คณะผู้จัดทำ
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในปี
พ.ศ. 2310
-
2325
เริ่มต้นหลังจากที่
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่
กรุงธนบุรี
โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์จักรี
และทรงย้ายเมืองหลวงมายัง
กรุงเทพมหานคร
เริ่มยุคสมัยแห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้
แคว้นล้านนา
ปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่
สงครามเก้าทัพ
,
สงครามท่าดินแดง
กับพม่า ตลอดจน
กบฏเจ้าอนุวงศ์
กับลาว และ
อานามสยามยุทธ
กับญวน
ในช่วงนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด
มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจาก
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ
ซึ่งเข้ามาในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น
สนธิสัญญาเบอร์นี
และ
สนธิสัญญาโรเบิร์ต
แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้า
ฝิ่น
อันได้กำไรมหาศาล
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก
การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี
พ.ศ. 2369
พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนิน
นโยบายทอดไมตรี
กับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมี
การเปลี่ยนแปลงดินแดน
หลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะ
รัฐกันชน
ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อวันที่
24 มิถุนายน
พ.ศ. 2475
ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า
คณะราษฎร
ได้
ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง
จาก
สมบูรณาญาสิทธิราช
มาเป็น
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองแก่ประเทศไทยอย่างมาก และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475
ขึ้นเป็น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างถาวรเป็นฉบับแรก
ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำใน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ใน
ระบอบเผด็จการทหาร
สงครามโลกครั้งที่สอง
ในระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่สอง
ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพล
แปลก พิบูลสงคราม
จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกราน
อินโดจีนฝรั่งเศส
จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่
การรบที่เกาะช้าง
ต่อมา หลังจาก
การโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์
กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามใน
สนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น
และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของ
ขบวนการเสรีไทย
ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น
สงครามเย็น
รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็น
พันธมิตรของสหรัฐอเมริกา
ในระหว่าง
สงครามเย็น
ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทร
อินโดจีน
และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่
สงครามเกาหลี
และ
สงครามเวียดนาม
ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจาก
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจ
อธิปไตย
ได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน